25 มี.ค. 2564 นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ผ้าทอของไทยถือได้ว่า มีความ โดดเด่น ประณีต สามารถสะท้อนเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม และมรดกทางภูมิปัญญา’โดยในปี 2563 ไทยมีตัวเลขการส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม มีมูลค่า 5,748.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 178,121.8 ล้านบาท โดยตลาดส่งออกหลักของไทย คือ กลุ่มประเทศอาเซียน และสหรัฐอเมริกา และคาดการณ์ว่าหากผลิตภัณฑ์สิ่งทอไทยได้รับการพัฒนา ต่อยอดจนสามารถตอบโจทย์ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ ก็จะยิ่งเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันการสร้างรายได้มากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้กระทรวงฯ จึงได้ต่อยอดโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์สิ่งทอด้วยการออกแบบเชิงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม สู่อีสานแฟชั่น เพื่อเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์ผ้าทอไทย สู่ภาคอุตสาหกรรมที่สามารถสร้างความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจฐานราก ภายใต้แบรนด์ “มัดทอใจ” โดยการดำเนินงานในปี 2564 จะมีความเข้มข้นมากขึ้น เนื่องจากมีรูปแบบการทำงานที่มุ่งหวังประสิทธิผลในการเพิ่มรายได้ให้กับผู้ประกอบการ และเน้นให้ผลิตภัณฑ์สามารถใช้งานได้จริง โดยได้วางพื้นที่เป้าหมายไว้ใน 4 จังหวัดที่มีความโดดเด่นด้านผ้าทออีสาน ได้แก่ ขอนแก่น นครราชสีมา สุรินทร์ และสกลนคร ด้วยการบูรณาการทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และผู้ประกอบการ ผ่าน 2 กิจกรรมหลัก ได้แก่
กิจกรรมการพัฒนาและยกระดับผู้ประกอบการทางธุรกิจและนักออกแบบรุ่นใหม่ ในกลุ่มสินค้าผ้าทอและแฟชั่น ให้ได้รับการพัฒนาเชิงลึก มีขีดความสามารถในการแข่งขัน จำนวน 280 คน เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเชื่อมโยงการออกแบบ โดยใช้ต้นทุนทางวัฒนธรรม ผสานเทคโนโลยี เพื่อแปรรูปผลิตภัณฑ์ผ้าไหมแบบใหม่ในกลุ่มตลาดใหม่ได้ ตั้งเป้าหมายจำนวน 40 ผลิตภัณฑ์ ด้วยการออกแบบลวดลายผ้าไหมแบบใหม่เชิงสร้างสรรค์บนอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม และการแปรรูปตัดเย็บเสื้อผ้าที่ทันสมัย
นางวรวรรณ กล่าวทิ้งท้ายว่า การดำเนินการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์สิ่งทอสู่อีสานแฟชั่น ในโครงการดังกล่าว กระทรวงอุตสาหกรรมเชื่อมั่นว่า จะช่วยเพิ่มมูลค่าของสินค้าสิ่งทอ เครื่องแต่งกาย เพิ่มสูงขึ้น 50% ด้วยการผสานเทคโนโลยีและการออกแบบเชิงสร้างสรรค์ ตัวอย่างเช่น การจำหน่ายลวดลายผ้าไหมมัดหมี่แบบดั้งเดิม ราคา 1,500 – 2,000 บาทต่อเมตร แต่เมื่อผ้าไหมมัดหมี่ที่มีการผ่านการพัฒนาและเพิ่มเติมคุณสมบัติพิเศษ จะสามารถจำหน่ายได้ในราคาถึง 3,000 – 3,500 บาทต่อเมตร อีกทั้งยังคาดการณ์เป้าหมายจากยอดจำหน่ายจากร้านค้าและผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น 12.80% หรือคิดเป็น 10.85 ล้านบาทต่อปี